สาวกลุ้ม โตมากับปู่ย่า พ่อแม่ไม่เคยส่งเสีย แต่มาทวงบุญคุณ จะฟ้องขอค่าเลี้ยงดู

สาวสุดกลุ้ม โดนพ่อแม่ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดู ทั้งที่โตมากับปู่ย่า แถมพ่อแม่ไม่เคยส่งค่าเลี้ยงดู ต้องกัดฟันสู้ชีวิตมาเอง

ความกตัญญูถือเป็นประเด็นละเอียดอ่อนในสังคมไทย หลายครอบครัวมักปลูกฝังว่าลูกควรทดแทนบุญคุญพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งคำถามว่าหากพ่อแม่ไม่ได้เป็นฝ่ายเลี้ยงดูลูก ลูกต้องตอบแทนอย่างไรถึงจะเหมาะสม หากไม่ดูแลจะถูกมองว่าอกตัญญู และจะโดนฟ้องร้องขอค่าเลี้ยงดูเหมือนสาวคนนี้หรือไม่

เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา สมาชิกพันทิปรายหนึ่งได้ตั้งกระทู้ขอคำปรึกษาว่า กำลังจะโดนพ่อแม่ฟ้องร้องขอค่าเลี้ยงดู โดยเล่าว่า ปัจจุบันเธออายุ 31 ปี เติบโตมาจากการเลี้ยงดูของปู่กับย่า เมื่อแม่คลอดเธอปุ๊บก็ฝากให้ปู่กับย่าเลี้ยงทันที ไม่เคยส่งค่าเลี้ยงดูอะไรมาทั้งสิ้น

พอจบม.ปลาย ย่าไม่มีเงินส่งเรียนมหาวิทยาลัยจึงไปคุยกับพ่อแม่ของเธอ แต่พ่อแม่กลับบอกว่า”ไม่ส่งหรอก เดี๋ยวก็มีผัว ให้ไปหางานทำเลย” คำพูดนี้ทำเธอฝังใจมาก เธอใช้มันเป็นแรงผลักดัน ทำงานโรงงานหาเงินส่งตัวเองเรียนรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จนสามารถคว้าปริญญาตรีมาได้

แต่โชคร้ายที่ปู่กับย่าจากไปตอนที่เธอเริ่มทำงานใหม่ ๆ เธอจึงตัดสินใจไม่เข้ารับปริญญาเพราะคนที่อยากให้เห็นความสำเร็จไม่ได้อยู่แล้ว ต่อมาเธอคิดว่าปริญญาใบแรกไม่ค่อยตรงสายงานเท่าไหร่จึงไปเรียนบริหารต่อ เรียนไปทำงานไปจนได้ปริญญาตรีอีกใบ และปัจจุบันกำลังจะจบปริญญาโท

ชีวิตของเธอ การงานต่าง ๆ ราบรื่นหมด แต่เธอไม่ค่อยอยากกลับบ้านนัก เพราะหลังจากที่ปู่กับย่าเสีย พ่อแม่ก็กลับมาทำธุรกิจขายของอยู่บ้าน เธอมีปากเสียงกับพ่อแม่เพราะเรื่องต่อเติมบ้าน เธอต่อห้องเพิ่มแต่พ่อแม่กลับให้น้องชายมาอยู่ โดยอ้างว่าเธอไม่ค่อยกลับบ้าน น้องอยากมีห้องเลยยกให้

ส่วนเรื่องธุรกิจขายของ เธอคิดว่าน่าจะไปไม่ไหวเพราะพ่อแม่ได้โทร.มาขอยืมเงิน ซึ่งเธอก็ให้ไป 6 หมื่น พอทวงก็ทะเลาะกัน ลามไปถึงการทวงบุญคุณ พ่อแม่จะให้เธอส่งค่าเลี้ยงดูรายเดือน เธอไม่โอเคมาก ๆ เพราะมองว่าที่เธอมีวันนี้ได้ก็เพราะปู่ย่า สู้ชีวิตมากันเอง พ่อแม่เลยขู่ว่าจะฟ้อง เธอควรทำอย่างไรต่อไปดี ถ้าสู้กลับจะมีโอกาสชนะหรือไม่

ด้านความคิดเห็นชาวเน็ต ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า ปล่อยให้พ่อแม่ฟ้องไป เพราะเท่าที่อ่านมาเจ้าของกระทู้มีโอกาสจะชนะมากกว่า โดยอ้างข้อกฎหมายว่า ตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 1563 บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา แต่จะเข้าข้อกฎหมายได้ในกรณีที่บิดามารดาแก่ชรา เจ็บป่วย จนไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ซึ่งพ่อแม่ของเจ้าของกระทู้ไม่ใช่เลย